แผลผ่าคลอดไม่ได้น่ากลัว หากรู้วิธีดูแลและป้องกันอย่างถูกต้อง!
แผลผ่าคลอดไม่ใช่เรื่องน่ากังวล แค่ดูแลถูกวิธี ก็หายไว ไร้ปัญหา!
แผลผ่าคลอดดูแลอย่างไรให้หายเร็ว ลดรอยแผลเป็น ป้องกันการติดเชื้อ เคล็ดลับง่าย ๆ ไม่ควรพลาด พร้อมวิธีดูแลแผลให้ปลอดภัย ฟื้นตัวไวและกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างมั่นใจ!
หลังจากการรอคอยที่ยาวนาน การได้เห็นหน้าลูกน้อยคือของขวัญล้ำค่าที่สุด แต่เส้นทางของการเป็นคุณแม่เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น การใส่ใจดูแลสุขภาพตนเองหลังคลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดูแลรักษา แผลผ่าคลอด อย่างพิถีพิถัน ถือเป็นภารกิจสำคัญที่ไม่สามารถละเลยได้ เพื่อให้คุณแม่สามารถฟื้นฟูร่างกายให้กลับมาแข็งแรงดังเดิม และพร้อมที่จะมอบความรักหรือการดูแลเอาใจใส่แก่เจ้าตัวน้อยได้อย่างเต็มกำลัง
บทความนี้จะพาคุณแม่ไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีดูแลแผลหลังผ่าคลอดอย่างถูกต้อง ตั้งแต่การทำความรู้จักกับลักษณะของแผลผ่าคลอด คำแนะนำที่ครอบคลุมในการดูแลแผลผ่าคลอด ไปจนถึงแนวทางการดูแลแผลผ่าคลอดคีลอยด์ เพื่อให้ร่างกายคุณแม่ฟื้นตัวกลับมาแข็งแรงได้โดยเร็ว
แผลผ่าคลอด มีลักษณะแบบไหนบ้าง?
หลังจากการผ่าคลอด การดูแลแผลผ่าคลอดอย่างเหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วขึ้นหรือลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน โดยลักษณะของแผลหลังผ่าคลอดจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับเทคนิคที่แพทย์เลือกใช้ แบ่งออกได้เป็น 2 แบบหลัก ๆ ดังนี้
แผลผ่าคลอด จะมีลักษณะหลัก ๆ อยู่ 2 แนว ดังนี้
แผลผ่าตัดตามแนวตั้ง (Vertical Incision)
แผลผ่าคลอดแนวตั้ง เป็นการผ่าจากบริเวณใต้สะดือลงมายังเหนือหัวหน่าว มีความยาวประมาณ 10-15 เซนติเมตร รูปแผลผ่าคลอดแนวตั้ง จะเป็นเส้นตรงในแนวดิ่ง การผ่าตัดแนวนี้ใช้ในกรณีฉุกเฉินหรือกรณีที่คุณแม่มีข้อจำกัดด้านสุขภาพ เพราะช่วยให้แพทย์เข้าถึงมดลูกได้รวดเร็วขึ้น
ข้อดีของแผลผ่าคลอดตามแนวตั้ง:
- เข้าถึงลูกน้อยได้เร็วในภาวะฉุกเฉิน เช่น ทารกมีภาวะเครียด หรือมีเลือดออกมาก
- มีพื้นที่ผ่าตัดกว้าง จัดการภาวะซับซ้อนได้ดี เช่น ทารกอยู่ในท่าผิดปกติ มีรกเกาะต่ำมาก หรือมีภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ
- ขยายแผลง่ายหากจำเป็น ต้องขยายแผลผ่าคลอดให้กว้างขึ้น การกรีดแนวตั้งสามารถทำได้ง่ายกว่าการกรีดแนวขวาง
- ลดเสี่ยงบาดเจ็บกระเพาะปัสสาวะ การกรีดแผลผ่าท้องแนวตั้งหลีกเลี่ยงบริเวณกระเพาะปัสสาวะที่อยู่ส่วนล่างของมดลูก ลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บได้
ข้อเสียของแผลผ่าตัดแนวตั้ง:
- รอยแผลผ่าคลอด เด่นชัด อาจเป็นที่สังเกตได้ง่าย
- เจ็บแผลผ่าคลอด หลังผ่าตัดมากกว่า ในช่วงแรกของการฟื้นตัว
- เสี่ยงไส้เลื่อนมากกว่า
- แผลผ่าคลอดแนวตั้ง ใช้เวลาพักฟื้นนานกว่า
- อาจกระทบต่อความสวยงามหน้าท้อง
แผลผ่าตัดตามแนวบิกินี (Bikini Cut)
แผลผ่าคลอดตามแนวบิกินี เป็นการผ่าตัดตามแนวขวางหรือแนวนอนบริเวณเหนือหัวหน่าวเล็กน้อย มีความยาวประมาณ 10-15 เซนติเมตร ซึ่งอยู่ในตำแหน่งสามารถปกปิดได้ด้วยขอบกางเกงในหรือบิกินี ลักษณะของแผลหลังผ่าคลอดจะดูเรียบ แผลสมานได้ดี เหมาะกับการผ่าคลอดแบบไม่เร่งด่วน เป็นทางเลือกที่แพทย์นิยมใช้มากที่สุดในปัจจุบัน เนื่องจากมีโอกาสเกิดแผลเป็นน้อย แผลผ่าคลอดสวยและฟื้นตัวได้เร็วกว่า
ข้อดีของแผลผ่าตัดแนวบิกินี:
- ความสวยงาม: รอยแผลผ่าคลอด สวยอยู่ในแนวเดียวกับขอบกางเกงชั้นใน ทำให้มองเห็นได้ยากกว่าเมื่อสวมใส่เสื้อผ้า จึงเป็นที่นิยมในด้านความสวยงาม
- อาการเจ็บปวดน้อยกว่า: การแยกกล้ามเนื้อหน้าท้องตามแนวขวางแทนการตัดผ่านโดยตรง จะส่งผลให้มีอาการเจ็บปวดหลังผ่าตัดน้อยกว่า เมื่อเทียบกับการกรีดแผลผ่าคลอดแนวตั้ง
- ความเสี่ยงต่อการเกิดไส้เลื่อนน้อยกว่า: เนื่องจากกล้ามเนื้อหน้าท้องไม่ได้ถูกตัดโดยตรง ทำให้ความแข็งแรงของผนังหน้าท้องยังคงดีอยู่ จึงลดความเสี่ยงต่อการเกิดไส้เลื่อนบริเวณแผลผ่าคลอด
- ระยะเวลาพักฟื้นเร็วกว่า: คุณแม่ที่ผ่าตัดคลอดด้วยวิธีนี้ จะเคลื่อนไหวและฟื้นตัวได้เร็วกว่า
ข้อเสียของแผลผ่าตัดแนวบิกินี:
- ใช้เวลาผ่าตัดนานกว่า
- ไม่เหมาะกับภาวะฉุกเฉิน
- การเข้าถึงมดลูกอาจจำกัด
- แผลผ่าคลอด อาจมีเลือดออกมากกว่าเล็กน้อย
แผลผ่าคลอด มีโอกาสเกิดคีลอยด์ได้หรือไม่?
หลังผ่าคลอด คุณแม่มีโอกาสเกิดทั้งแผลเป็นนูนหรือแผลผ่าคลอดเป็นคีลอยด์ได้ มีปัจจัยเสี่ยงหลายประการที่เกี่ยวข้อง การสังเกตลักษณะแผลผ่าคลอดอย่างใกล้ชิด และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด จะช่วยลดความเสี่ยงและจัดการกับปัญหาแผลเป็นได้อย่างเหมาะสม หากสังเกตเห็นความผิดปกติของแผล เช่น มีลักษณะนูนขึ้นเรื่อย ๆ แผลผ่าคลอดบวมแดง มีอาการคันหรือเจ็บแผลผ่าคลอดข้างใน ควรรีบปรึกษาแพทย์ เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาแผลผ่าคลอดที่ถูกต้องต่อไป
ข้อแนะนำในการรักษาแผลผ่าคลอด ให้หายเร็วปลอดภัย
วิธีดูแลและรักษาแผลผ่าคลอด เพื่อให้แผลผ่าคลอดหายเร็ว ลดรอยแผลเป็น ดังนี้
- ดูแลแผลผ่าคลอดให้สะอาด: ล้างแผลด้วยน้ำเกลือหรือน้ำต้มสุกที่เย็นแล้ว วันละ 1-2 ครั้ง ซับให้แห้งด้วยผ้าก๊อซสะอาด เลี่ยงสบู่หรือน้ำหอมบนแผล เพื่อป้องกันแผลผ่าคลอดติดเชื้อ โดยเฉพาะในช่วง 7–14 วันแรกหลังผ่าตัด
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสแผลโดยตรง: ไม่ควรเกาหรือแกะสะเก็ดแผล เพราะอาจทำให้แผลผ่าคลอดอักเสบหรือเป็นรอยแผลเป็นมากขึ้น
- แผ่นซิลิโคนช่วยลดรอยนูน: วิธีรักษาแผลผ่าคลอดหลังแผลแห้งสนิท แพทย์อาจแนะนำให้ใช้แผ่นซิลิโคนเจลปิดทับอย่างน้อย 12 ชั่วโมงต่อวัน เพื่อรักษาความชุ่มชื้น ลดคอลลาเจน ทำให้แผลผ่าคลอดนุ่มเรียบเนียน หรือแผลผ่าคลอดสวยขึ้น ควรใช้ตามคำแนะนำแพทย์หรือเภสัชกร
- หลีกเลี่ยงการยกของหนักหรือออกแรงมาก: ควรงดกิจกรรมที่ต้องใช้แรงกดบริเวณหน้าท้องในช่วง 4–6 สัปดาห์แรก เพื่อไม่ให้แผลผ่าคลอดปริ หรือหายช้า และป้องกันการบาดเจ็บภายใน
- สวมเสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี: เลือกใส่เสื้อผ้าหลวม ๆ ไม่รัดแผล เพื่อป้องกันการเสียดสีและช่วยให้แผลผ่าคลอดแห้งเร็วขึ้น
- ใช้เจลทาแผลเป็นหรือครีมลดรอยแผลเป็น: หลังแผลเริ่มสมานดีแล้ว (ประมาณ 2–3 สัปดาห์) สามารถเริ่มใช้เจลหรือครีมทาแผลเป็น เช่น เจลซิลิโคน หรือครีมที่มีสารช่วยลดแผลผ่าคลอดอักเสบและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เพื่อช่วยให้แผลดูจางลง ลดโอกาสเกิดคีลอยด์ ทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้นป้องกันแผลจากแสงแดด
- หากต้องออกไปข้างนอก ควรใช้แผ่นปิดแผลหรือทาครีมกันแดดบริเวณแผลผ่าคลอด เมื่อแผลหายดีแล้ว เพราะรังสี UV อาจทำให้แผลมีสีเข้มขึ้นและจางช้า
- หมั่นสังเกตอาการผิดปกติของแผล: เช่น แสบแผลผ่าคลอด แผลแดง แผลผ่าคลอดบวม มีน้ำเหลือง หรือเจ็บแผลผ่าคลอดมากผิดปกติ รวมถึงแผลผ่าคลอดปริ ควรรีบปรึกษาแพทย์ เพื่อรักษาอย่างทันท่วงที
การใช้เจลหรือครีมทาแผลเป็นอย่างถูกวิธีและสม่ำเสมอเป็นการดูแลแผลผ่าคลอด เพื่อลดรอยแผลเป็น ควรทำควบคู่กับวิธีดูแลแผลผ่าคลอดในด้านอื่น ๆ ตามคำแนะนำของแพทย์ สำหรับคุณแม่ที่สงสัยเกี่ยวกับ ไหมละลายผ่าคลอด โดยทั่วไปไหมจะค่อย ๆ สลายไปเอง แต่หากมีอาการผิดปกติอื่น ๆ เช่น ผ่าคลอด 1 เดือนเจ็บแผล หรือมีอาการปวดแผลผ่าตัดคลอดอย่างต่อเนื่อง ควรได้รับการตรวจเช็กจากแพทย์เพื่อประเมินอาการและให้คำแนะนำที่ถูกต้อง
แผลผ่าคลอด เรื่องสำคัญที่แม่ต้องรู้!
แผลผ่าคลอดคือร่องรอยจากการผ่าตัด เพื่อนำทารกออกมา ซึ่งจะกรีดตามแนวขวางบริเวณเหนือหัวหน่าวเล็กน้อย ในช่วงแรกอาจมีอาการเจ็บ บวม หรือชารอบแผล การดูแลแผลผ่าคลอดอย่างถูกวิธีจึงสำคัญมาก เพราะช่วยลดความเสี่ยงติดเชื้อและทำให้แผลหายเร็วขึ้น โดยปกติแผลผ่าคลอดเริ่มสมานภายใน 2-3 สัปดาห์ และรอยผ่าคลอดค่อย ๆ จางลงเป็นแผลเป็น อาจต้องใช้เวลาหลายเดือนจนถึงเป็นปี แต่แผลนี้คือรอยแห่งความรักและความเสียสละของแม่ที่ได้มอบชีวิตใหม่ให้กับลูกน้อยอย่างงดงาม