สะตอฟอร์ยู ::: สนับสนุนให้คนใต้ได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น!!!

ดอกกุหลาบเป็นเสมือนเครื่องหมายแทนการกำเนิดของ เทพธิดาวีนัส ...ตำนานดอกกกุหลาบ ?

by sator4u_team @12 ก.พ. 57 16:45 ( IP : 180...198 ) | Tags : คลังสมอง-น่ารู้-สัพเพเหระ
  • photo  , 614x491 pixel , 107,389 bytes.

ตามประวัติศาสตร์เล่าว่า กุหลาบป่าถูกนำมาปลูกไว้ในพระราชวังของจักรพรรดิจีน ในสมัยราชวงศ์ฮั่นราว 5,000 ปีมาแล้ว ขณะที่อียิปต์เองก็ปลูกกุหลาบเป็นไม้ดอก ส่งไปขายให้แก่ชาวโรมัน ชาวโรมันเป็นชาติที่รักดอกกุหลาบมากถึงจะสั่งซื้อจากประเทศอียิปต์แล้ว ยังลงทุนสร้างเนอร์สเซอรี่ขนาดใหญ่สำหรับปลูกดอกกุหลาบอีกด้วย สำหรับชาวโรมันแล้วเรียกได้ว่าดอกกุหลาบมีความสำคัญกับชีวิตประจำวัน เพราะชาวโรมันถือว่าดอกกุหลาบเป็นสัญลักษณ์ของความรัก ซึ่งเป็นทั้งของขวัญ เป็นดอกไม้สำหรับทำเป็นมาลัยต้อนรับแขก เป็นดอกไม้สำหรับงานเฉลิมฉลองต่างๆ ใช้เป็นส่วนประกอบสำหรับทำขนม ทำไวน์ ส่วนน้ำมันกุหลาบยังใช้ทำเป็นยาได้อีกด้วย

กุหลาบถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความรักและความโรแมนติก ซึ่งมีบางตำนานเล่าว่า ดอกกุหลาบเป็นเสมือนเครื่องหมายแทนการกำเนิดของ เทพธิดาวีนัส ซึ่งเป็นเทพแห่งความงาม และความรัก วีนัสเป็นที่รู้จักกันในชื่อ อโฟรไดท์ ในตำนานเทพของกรีกได้กล่าวไว้ว่า น้ำตาของเธอหยดลงปะปนกับเลือดของ อคอนิส คนรักของเธอที่ถูกหมูป่าฆ่า เลือดและน้ำตาหยดลงสู่พื้นแล้วกลายเป็นดอกไม้สีแดงเข้มหรือดอกกุหลาบนั่นเอง แต่บางตำนานก็เล่าว่าดอกกุหลาบเกิดจากเลือดของ อโฟรไดท์ เองที่หยดลงสู่พื้น เมื่อเธอแทงตัวเองด้วยหนามแหลม

บางตำนานกล่าวว่ากุหลาบเกิดจากการชุมนุมของบรรดาทวยเทพ เพื่อประทานชีวิตใหม่ให้กับนางกินรีนางหนึ่ง ซึ่งเทพธิดาแห่งบุปผาชาติ หรือ คลอริส บังเอิญไปพบนางนอนสิ้นชีพอยู่ ในตำนานนี้กล่าวว่า อโฟรไดท์ เป็นเทพผู้ประทานความงามให้ มีเทพอีกสามองค์ประทานความสดใส เสน่ห์ และความน่าอภิรมย์ และมี เซไฟรัส ซึ่งเป็นลมตะวันตกได้ช่วยพัดกลุ่มเมฆ เพื่อเปิดฟ้าให้กับแสงของเทพ อพอลโล หรือแสงอาทิตย์ส่องลงมาเพื่อประทานพรอมตะ จากนั้น ไดโอนีเซียส เทพเจ้าแห่งเหล้าองุ่นก็ประทานน้ำอมฤต และกลิ่นหอม เมื่อสร้างบุปผาชาติดอกใหม่นี้ขึ้นมาได้แล้ว เทพทั้งหลายก็เรียกดอกไม้ซึ่งมีกลิ่นหอมและทรงเสน่ห์นี้ว่า Rosa จากนั้น เทพธิดาคลอริส ก็รวบรวมหยดน้ำค้างมาประดับเป็นมงกุฎ เพื่อมอบให้ดอกไม้นี้เป็นราชินีแห่งบุปผาชาติทั้งมวล จากนั้นก็ประทานดอกกุหลาบให้กับเทพ อีโรส ซึ่งเป็นเทพแห่งความรัก กุหลาบจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของความรัก แล้วเทพ อีโรส ก็ประทานกุหลาบนี้ให้แก่ ฮาร์โพเครติส ซึ่งเป็นเทพแห่งความเงียบ เพื่อที่จะเก็บซ่อนความอ่อนแอของทวยเทพทั้งหลาย ดอกกุหลาบจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของความเงียบและความเร้นลับอีกอย่างหนึ่ง

กุหลาบกลายเป็นของขวัญ ของกำนัลสำหรับการแสดงความรัก และมักจะมีผู้เปรียบเทียบความงามของผู้หญิงเป็นเสมือนดอกกุหลาบ และผู้หญิงคนแรกในประวัติศาสตร์โลกที่ได้รับสมญาว่าเป็นผู้หญิงงามเสมือนดอกกุหลาบคือ พระนางคลีโอพัตรา ซึ่งพระนางยังได้เคยต้อนรับ มาร์ค แอนโทนี คนรักของพระนาง ในห้องซึ่งโรยด้วยดอกกุหลาบหนาถึง 18 นิ้ว หอมฟุ้งไปด้วยกลิ่นกุหลาบ


ตำนานดอกกุหลาบในเมืองไทย

กุหลาบเข้ามาเมืองไทยสมัยใดไม่ทราบแน่ชัด แต่จากบันทึกของ ลา ลูแบร์ ราชทูตฝรั่งเศสในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช บันทึกไว้ว่าได้เห็นกุหลาบที่กรุงศรีอยุธยา และที่แน่นอนอีกแห่งก็คือ ในกาพย์ห่อโคลงนิราศธารโศกสมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งเป็นพระนิพนธ์ของเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์ ก็ได้มีการกล่าวถึงกุหลาบเอาไว้

ซึ่งมีตำนานดอกกุหลาบของไทยที่เป็นบทละครพระราชนิพนธ์ของ รัชกาลที่ 6 เรื่อง มัทนะพาธา ในเรื่องเล่าถึงเทพธิดาองค์หนึ่งชื่อ "มัทนา" ซึ่งนางได้มีเทพบุตรองค์หนึ่งชื่อ "สุเทษณะ" ซึ่งพระองค์ทรงหลงรักเทพธิดา "มัทนา" มากแต่นางไม่มีใจรักตอบ จึงถูกสาบให้ไปเกิดเป็นดอกกุหลาบ จึงกลายเป็นตำนานดอกกุหลาบแต่นั้นมา

วรรณคดีเรื่องมัทนะพาธา หรือ ตำนานดอกกุหลาบของไทยเป็นบทพระราชนิพนธ์ละครพูดคำฉันท์ ๕ องค์ ในสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราวุธพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาล ที่๖ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งทรงพระราชนิพนธ์ตามจินตนาการที่มีพระราชดำริขึ้นในพระราชหฤทัย

มัทนะพาธา เป็นเรื่องราวของเทพธิดามัทนา นางฟ้าผู้ที่มีรูปโฉมงดงามมาก จนความงามนั้นส่งผลร้ายแก่ตนเอง ต้องถูกสาปให้จุติลงมาเกิดเป็นต้นกุหลาบต้นแรกบนโลกมนุษย์


ความรักเหมือนโรคา บันดาลตาให้มืดมน
ไม่ยินและไม่ยล อุปสรรคใดใด
ความรักเหมือนโคถึก กำลังคึกผิขังไว้
ก็โลดออกจากคอกไป บ ยอมอยู่ ณ ที่ขัง
ถึงหากจะผูกไว้ ก็ดึงไปด้วยกำลัง
ยิ่งห้ามก็ยิ่งคลั่ง บ หวนคิดถึงเจ็บกายา


เรื่องราวเริ่มขึ้น ณ สวรรค์ นางมัทนา ผู้เลอโฉมงามเลิศในสรวงสวรรค์ เพราะความงามนี่แหละเป็นดาบสองคม เป็นภัยต่อตนเอง เทพสุเทษณ์หลงรักมาก มาก มากจนถึงขั้นไปขอให้มายาวินใช้วิชาอาคมมนตราเรียกมัทนาให้มาพบ มัทนาโดนสะกดจิตไม่มีสติ สุเทษณ์พูดอะไรไป มัทนาไม่รับรู้จริงๆหรอก พอมายาวินคลายมนต์ให้ มัทนาปฏิเสธรักของสุเทษณ์เหมือนเดิม (ทั้งตอนมีสติและไม่มีสติ ปฏิเสธตลอด) ทีนี้สุเทษณ์กริ้วโกรธมัทนามาก จะสาปให้มัทนาไปเกิดบนโลกมนุษย์ นางยืนยันคำเดิม นางไม่ได้รักสุเทษณ์ขอไปเกิดเป็นดอกไม้ที่โลกมนุษย์ สุเทษณ์อยากให้นางเกิดเป็นดอกไม้ที่สวยกลิ่นหอมมีหนามไว้ป้องกันภัย มายาวินจึงเสนอ กุพชกะ ที่แปลว่าดอกไม้ หรือ ดอกกุหลาบ ซึ่งมีเฉพาะสรวงสวรรค์เท่านั้น สุเทษณ์จึงสาปให้มัทนาเกิดเป็นดอกกุหลาบที่โลกมนุษย์ คำสาปมีว่า มัทนาจะกลายเป็นคนในวันเพ็ญเท่านั้น และจะเป็นคนได้ถาวร เมื่อมีความรักโดยแท้จริงเท่านั้นและถ้าทุกข์กับความรักให้กลับมาอ้อนวอน สุเทษณ์จะช่วย

ต่อมา ณ ป่าหิมะวัน ฤๅษีกาละทรรศินได้พบได้รู้ว่านี่เป็นเทพธิดามาจุติ จึงคอยดูแลปกป้องปลูกไว้ที่อาศรม ในวันเพ็ญเดือนหนึ่ง ท้าวชัยเสนออกล่าสัตว์ที่ป่าหิมะวัน พักที่อาศรมฤๅษี บังเอิญ(หรือพรหมลิขิต)ได้พบนางมัทนาเข้า ด้วยความงดงามของนาง ท้าวชัยเสนจึงตกหลุมรัก และมัทนามีใจให้กับท้าวชัยเสนเช่นกันต่างพรรณนาความรักถึงกัน มัทนาได้มีความรักแล้วจึงกลายเป็นคนจริงๆ ท้าวชัยเสนขอนางมัทนาจากฤาษีและพานางไปอยู่ด้วยที่วัง แต่ทว่า นางจัณฑีมเหสีของท้าวชัยเสนได้รู้เข้าว่าท้าวชัยเสนมีนางมัทนา เจรจาดูหมิ่นนางมัทนา ท้าวชัยเสนกริ้วสิดุด่านางจัณฑีมเหสีผู้ริษยา มาว่านางมัทนาที่รักได้อย่างไร (??)

มีหรือนางจัณฑีจะนิ่งได้ นางแค้นใจมาก ไปฟ้องพ่อเลย ฟ้องพระบิดาให้ยกทัพมาตี และยังแกล้งนางมัทนาสารพัด ทำอุบายหลอกท้าวชัยเสนว่า นางมัทนาไปมีรักกับศุภางค์ทหารเอกของท้าวชัยเสน ท้าวชัยเสนหลงกลเข้าแล้ว ถึงขั้นจะประหารกันเลย ทั้งสองคนที่ถูกกล่าวหาเศร้าหดหู่เสียใจ นานวันเข้า ท้าวชัยเสนก็รู้ความจริงว่ามัทนาและศุภางค์ไม่ผิดจริงแล้วจะแทงตัวเองให้ตาย แต่อำมาตย์ได้บอกว่าแอบปล่อยทั้งสองไป ส่วนนางจัณฑีและพวกก็รับโทษไปตามเวรตามกรรมนะ มัทนาได้วิงวอนถึงเทพสุเทษณ์ให้มาช่วยนาง สุเทษณ์ยินดีมากๆ อยากจะรับนางเป็นมเหสี แต่ว่ามัทนาไม่ได้รักสุเทษณ์ มีสองสามีไม่ได้ เรื่องราวเป็นเหมือนตอนเริ่มแรก สุเทษณ์โกรธ สาปมัทนาเป็นดอกกุหลาบไปตลอดกาล ท้าวชัยเสนก็ได้แต่รำพันถึงความหลงผิดและความรักที่มีต่อนางมัทนาให้ต้นกุหลาบได้รับรู้ และนำไปปลูกในอุทยาน

พระฤาษีก็อวยพรให้กุหลาบนั้นดำรงอยู่คู่โลกโดยไม่มีวันสูญพันธุ์ อีกทั้งยังเป็นดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมสามารถช่วยดับทุกข์ในใจคนและดลบันดาลให้จิตใจเบิกบานเป็นสุขได้ ในเวลาต่อมา ชาย-หญิงเมื่อมีรักก็จะใช้ดอกกุหลาบเป็นสัญลักษณ์แห่งความรักจนถึงทุกวันนี้


กุหลาบขาว กับ กุหลาบแดง

มีหลายตำนานเล่าถึงการเกิดกุหลาบสีขาวและกุหลาบสีแดงไว้แตกต่าง กัน ตำนานหนึ่งเล่าว่า กุหลาบขาว เกิดขึ้นก่อน กุหลาบแดง เดิมทีมีนกไนติงเกลตัวหนึ่งมาหลงรักเจ้าดอกกุหลาบขาวแสนสวย ขณะที่มันกำลังจะโอบกอดดอกกุหลาบด้วยความรักนั้นเอง หนามกุหลาบก็ทิ่มแทงที่หน้าอกของมัน หยดเลือดของเจ้านกไนติงเกลเลยทำให้ดอกกุหลาบสีขาวกลายเป็นสีแดง เลยมีดอกกุหลาบสีแดงนับแต่นั้นเป็นต้นมา ส่วนอีกตำนานหนึ่งก็เล่าว่ากุหลาบสีแดงในสวนอีเดนเกิดจากการจุมพิตของ อีฟ เจ้าดอกกุหลาบขาวที่หญิงสาวจุมพิต เลยเกิดอาการขวยเขินจึงเปลี่ยนเป็นสีแดง

นอกจากนี้ความหมายของความรักในศาสนาคริสต์ ถือว่ากุหลาบสีขาวแทนความบริสุทธิ์ของ พระแม่มาเรีย และกุหลาบสีแดงเกิดจากหยาดพระโลหิตของ พระเยซูเจ้า เมื่อถูกสวมมงกุฎหนาม มันจึงเป็นสัญลักษณ์ของผู้ประกาศศาสนาที่พลีชีพเพื่อพระผู้เป็นเจ้า

Relate topics

แสดงความคิดเห็น

« 9670
หากท่านไม่ได้เป็นสมาชิก ท่านจำเป็นต้องป้อนตัวอักษรของ Anti-spam word ในช่องข้างบนให้ถูกต้อง
The content of this field is kept private and will not be shown publicly. This mail use for contact via email when someone want to contact you.
Bold Italic Underline Left Center Right Ordered List Bulleted List Horizontal Rule Page break Hyperlink Text Color :) Quote
คำแนะนำ เว็บไซท์นี้สามารถเขียนข้อความในรูปแบบ มาร์คดาวน์ - Markdown Syntax:
  • วิธีการขึ้นบรรทัดใหม่โดยไม่เว้นช่องว่างระหว่างบรรทัด ให้เคาะเว้นวรรค (Space bar) ที่ท้ายบรรทัดจำนวนหนึ่งครั้ง
  • วิธีการขึ้นย่อหน้าใหม่ซึ่งจะมีการเว้นช่องว่างห่างจากบรรทัดด้านบนเล็กน้อย ให้เคาะ Enter จำนวน 2 ครั้ง