สะตอฟอร์ยู ::: สนับสนุนให้คนใต้ได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น!!!

แคปไซซิน หรือ แคปไซตินอย ในพริกขี้หนู ต้านมะเร็ง ลดระดับน้ำตาล!!!

by sator4u_team @16 ส.ค. 57 22:45 ( IP : 113...35 ) | Tags : สุขภาพ
  • photo  , 640x430 pixel , 47,626 bytes.
  • photo  , 435x240 pixel , 32,315 bytes.

หลายคนอาจได้ยินชื่อสารชนิดนี้มาบ้างจากพริก คุณสมบัติเผ็ดร้อนของแคปไซซิน เป็นตัวทำให้พริกหรือเครื่องเทสบางชนิดมีความเผ็ด ความเผ้ดมีประโยชน์หลายอย่างค่ะ ช่วยลดอาการปวด ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด และช่วยละลายลิ่มเลือด

ส่วนคุณสมบัติในการต้านมะเร็ง แคปไซซินจะยับยั้งสารเคมีที่เป้นตัวกระตุ้นการมะเร็งจากการสูบบุหรี่ได้ งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยนอตทิงแฮมประเทศอังกฤษ รายงานว่า สารชนิดนี้จะไปทำให้เซลล์มะเร็งตาย โดยไม่ไปทำร้ายเซลล์ดีที่อยู่รอบๆ

ผลวิจัยพบสารแคปไซซิน (Capsaicin) ในพริกขี้หนู ซึ่งทำให้เกิดความเผ็ดร้อน สามารถนำไปใช้ประโยชน์ทางยา ลดระดับน้ำตาลในเลือดได้

รศ.สุ พีชา วิทยเลิศปัญญา ภาควิชาเภสัชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ศึกษาวิจัยเรื่อง "เภสัชจลนศาสตร์ของสารแคปไซซินในพริกขี้หนูสด และฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของพริกขี้หนูสดต่อน้ำตาลในเลือดในอาสาสมัครสุขภาพดี" เพื่อพิสูจน์สรรพคุณของสารแคปไซซินว่าสามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดได้หรือไม่

แคปไซซินพบมากที่สุดบริเวณรกของพริกขี้หนู วิธีการวิจัยระยะแรกจะศึกษานำร่องในอาสาสมัครจำนวน 2 ราย เพื่อพิสูจน์ปริมาณที่เหมาะสมของสารตัวนี้ที่มีผลทำให้ระดับน้ำตาลลดลง โดยใช้พริกขี้หนูขนาด 5 กรัม พบว่าสามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดลงชัดเจน จากนั้นทดลองในอาสาสมัครจำนวนเพิ่มขึ้นเป็น 12 ราย กลุ่มหนึ่งทานพริกขี้หนูบรรจุในแคปซูลพร้อมกับน้ำตาลความเข้มข้นสูง อีกกลุ่มทานแคปซูลเปล่า เพื่อเปรียบเทียบผลแล้วจึงวัดระดับน้ำตาลในเลือดทุก 15 นาที ตั้งแต่เริ่มทานยาเป็นเวลา 2 ชั่วโมง ปรากฏว่าระดับน้ำตาลในเลือดลดลงอย่างเห็นได้ชัดในนาทีที่ 30 โดยกลุ่มที่ทานพริกขี้หนูสดมีระดับน้ำตาลลดลงมากกว่ากลุ่มที่ทานแคปซูล เปล่า" รศ.สุพีชา ระบุ

ผลการวิจัยสรุปได้ว่าพริกขี้หนูสดขนาด 5 กรัมมีคุณสมบัติในการลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ และสามารถกระตุ้นการหลั่งอินซูลินได้ ผลที่ได้น่าจะมาจากการที่แคปไซซินดูดซึมเข้าสู่ร่างกายและออกฤทธิ์กระตุ้น การหลั่งอินซูลินนั่นเอง

นอกจากพริกขี้หนูสดแล้วยังมีสมุนไพรชนิด อื่น เช่น ใบหม่อน มะระขี้นก ฯลฯ ที่มีผลต่อการลดระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งจะต้องศึกษาวิจัยต่อไป เพื่อใช้สมุนไพรดังกล่าวเสริมกับการรับประทานยาแผนปัจจุบัน สำหรับงานวิจัยที่จะทำต่อไปในอนาคตจะศึกษาวิจัยเพิ่มเติมในกลุ่มผู้ป่วยเบา หวาน" รศ.สุพีชา กล่าว

พริก...ช่วย บรรเทาอาการไข้หวัด ช่วยให้ระบบการหายใจสะดวกสบายยิ่งขึ้น สารแคปไซซินที่อยู่ในพริกมีคุณสมบัติช่วยลดน้ำมูกหรือลดปริมาณสารที่ขัดขวาง ระบบการหายใจ ในผู้ป่วยที่เป็นไข้หวัด ไซนัส หรือโรคภูมิแพ้ต่างๆ ช่วย บรรเทาอาการไอ สารแคปไซซินเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของตัวยาหลายๆ ชนิด นอกจากนั้นสารเบตาแคโรทีนในพริกช่วยป้องกันการติดเชื้อต่างๆ ในบริเวณเนื้อเยื่อบุผนังช่องปาก จมูก ลำคอ และปอด

พริก...ช่วย ลดการอุดตันของเส้นเลือด หรือการเสียชีวิตอันเนื่องมาจากเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมองอุดตัน การบริโภคพริกเป็นประจำจะช่วยลดอัตราความเสี่ยงจากการอุดตันของเส้นเลือด นับเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคหัวใจล้มเหลว เนื่องจากพริกช่วยให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้นและช่วยลดความดัน เพราะว่าในพริกมีสารจำพวกเบตาแคโรทีนและวิตามินซี ซึ่งช่วยเสริมสร้างผนังหลอดเลือดให้แข็งแรงเพิ่มการยืดตัวของผนังหลอดเลือด ทำให้ปรับตัวเข้ากับแรงดันระดับต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น

พริก...ช่วย ลดปริมาณสารคอเลสเตอรอล สารแคปไซซินช่วยป้องกันมิให้ตับสร้างคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL-Low density lipoprotein) ในขณะเดียวกันก็ส่งเสริมให้มีการสร้างคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL-high density lipoprotein) มากขึ้น ทำให้ปริมาณของไตรกลีเซอไรด์ในกระแสเลือดต่ำลง เป็นผลดีต่อสุขภาพของผู้บริโภค

พริก...ช่วยลด ความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง เนื่องจากพริกเป็นพืชผักที่มีวิตามินซีสูง การบริโภคอาหารที่มีวิตามินซีมากๆ จะช่วยปกป้องการเกิดโรคมะเร็งได้ วิตามินซียับยั้งการสร้างไนโตรซามีนซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งในระบบทางเดินอาหาร วิตามินซีช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนซึ่งเป็นส่วนประกอบของกระดูกอ่อน รวมถึงเป็นส่วนประกอบของผิวหนัง กล้ามเนื้อและปอด คอลลาเจนเป็นโปรตีนที่สามารถหยุดการแพร่กระจายของเซลล์เนื้อร้ายได้

นอกจากนี้ วิตามินซียังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) คือสามารถยุติหรือขัดขวางบทบาทของอนุมูลอิสระ (free radicals) ที่จะก่อให้เกิดการกลายพันธุ์ของเซลล์จนเป็นเซลล์มะเร็งในที่สุด สารเบตาแคโรทีนในพริกช่วยลดอัตราการเสี่ยงของโรคมะเร็งในปอด และในช่องปาก คนที่รับประทานผักที่มีสารเบตาแคโรทีนน้อย จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งมากกว่าคนที่รับประทานผักที่มีเบตาแคโรที นสูงถึง 7 เท่า





คุณสมบัติของสารเบตาแคโรทีนจะช่วยลดอัตราการกลายพันธุ์ของเซลล์ และทำลายเซลล์มะเร็ง สำหรับพริกบางชนิดที่มีสีม่วงจะมีสารพวกแอนโทไซยานิน ซึ่งสารนี้มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ คือ สามารถทำลายอนุมูลอิสระได้เช่นกัน

พริก...ช่วย บรรเทาอาการเจ็บปวด เช่น ลดอาการปวดฟัน บรรเทาอาการเจ็บคอ และการอักเสบของผิวหนัง เป็นต้น ในปัจจุบันมีการใช้สารแคปไซซินเป็นส่วนประกอบของขี้ผึ้ง ใช้บรรเทาอาการปวดอันเนื่องมาจากผดผื่นคันและอาการผื่นแดงบริเวณผิวหนัง รวมทั้งอาการปวดที่เกิดจากเส้นเอ็น โรคเกาต์ หรือโรคข้อต่ออักเสบ เป็นต้น นอกจากนี้ผลการทดลองใหม่ๆยังบ่งชี้ว่าสารแคปไซซินช่วยลดอาการปวดศีรษะและไม เกรนลงได้

พริก...ช่วย เสริมสร้างสุขภาพและอารมณ์ดี เนื่องจากสารแคปไซซินมีส่วนในการส่งสัญญาณให้ต่อมใต้สมองสร้างสาร เอนดอร์ฟิน (endorphin มาจากคำว่า endogenous morphine) ขึ้น สารเอนดอร์ฟินเป็นเปปไทด์ขนาดเล็ก (โปรตีนสายสั้นๆ) มีคุณสมบัติคล้ายมอร์ฟีน คือ บรรเทาอาการเจ็บปวด ในขณะเดียวกันก็สร้างอารมณ์ให้ดีขึ้น ยิ่งรับประทานเข้าไปมากเท่าใด ร่างกายก็จะสร้างเอนดอร์ฟินขึ้นมามากขึ้นเท่านั้น ปกติร่างกายของคนเราจะสร้างสารเอนดอร์ฟินขึ้นภายหลังการออกกำลังกาย ดังนั้นการออกกำลังกายแม้จะทำให้ร่างกายเมื่อยล้า แต่ผู้ออกกำลังกายจะรู้สึกสดชื่นแจ่มใส ถ้าต้องการบรรเทาความเผ็ดของอาหารในปากควรดื่มแอลกอฮอล์ หรือรับประทานอาหารที่มีไขมันเป็นส่วนประกอบมากกว่าการดื่มน้ำ เพราะการดื่มน้ำมีผลเพียงช่วยบรรเทาอาการแสบร้อนได้เท่านั้น แต่ความเผ็ดก็ยังไม่ได้ลดลง เนื่องจากว่า ‘น้ำ' ละลายสารดังกล่าวได้ไม่ดี...นั่นเอง


Tips

เกณฑ์วัดระดับความเผ็ดร้อนสากลของพริกหรือผักผลไม้ที่มีสารแคปไซ ซินซึ่งให้ความเผ็ดร้อนนี้เรียกว่า สโกวิลล์ (Seoville) เป็นคำที่ตั้งขึ้นตามชื่อของผู้คิดค้นวิธีการวัดระดับนี้ ซึ่งก็คือ วิลเบอร์ ลินคอร์น สโกวิลล์ นักเคมีชาวอเมริกัน โดยเขาได้คิดค้นระดับวัดความเผ็ดนี้ขึ้นในปี ค.ศ. 1912 ขณะทำงานอยู่ที่บริษัทผลิตยา พาร์ก เดวิส เพื่อวัดความฉุนหรือความเผ็ดร้อนของพริกต่างชนิดกัน

สำหรับความเผ็ดที่วัดได้จากพริกขี้หนูสวนบ้านเรานั้นจะอยู่ที่ 50,000-100,000 สโกวิลล์ ในขณะที่สารแคปไซซินบริสุทธิ์นั้นมีค่าประมาณ 15,000,000-16,000,000 สโกวิลล์ ส่วนพริกที่ได้รับการบันทึกลงในกินเนสส์บุ๊กว่าเผ็ดที่สุดในโลกก็คือ พริกฮาบาเนโร จากเรด ซาบีนา วัดค่าได้ถึง 350,000-577,000 สโกวิลล์...เลยทีเดียว

คุณหรือหรือไม่คะว่าในพริกมีสารชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า “แคปไซซิน” ซึ่งเป็นตัวที่ช่วยเร่งกระบวนการเผาผลาญได้ โดยจะทำให้ร่างกายของเราสามารถใช้แคลอรีได้เร็วขึ้น เพราะในสารแคปไซซินช่วยทำให้อุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้นนั่นเองค่ะ นอกจากนี้ มีงานวิจัยที่พบว่า คนที่กินอาหารรสเผ็ดจะสามารถกินอาหารได้ในปริมาณที่น้อยลง ทำให้ผอมลงได้ค่ะ และช่วยรักษาอาการอักเสบในร่างกายได้อีกด้วยค่ะ





ประโยชน์ของการกินเผ็ด

ทำให้อุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้น และความดันโลหิตลดลง แต่จะไหลเวียนไปทั่วร่างกายสะดวกยิ่งขึ้นค่ะ พริกช่วยเสริมสร้างผนังหลอดเลือดด้วยค่ะ เพราะประกอบไปด้วยวิตามินเอและวิตามินซีนั่นเอง อาหารที่มีรสเผ็ดจะช่วยชะลอการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งได้ค่ะ ช่วยส่งเสริมระบบย่อยอาหารได้ค่ะ เพราะมันจะไปเพิ่มการหลั่งน้ำกรดในกระเพาะอาหาร แคปไซซินในอาหารรสเผ็ดจะช่วยฆ่าแบคทีเรีย H.Pylori ที่เป็นตัวการของแผลในกระเพาะอาหาร และป้องกันโรคกระเพาะได้ค่ะ แต่ถ้าคุณเป็นโรคกระเพาะแล้วก็ไม่สามารถช่วยได้ค่ะ ขมิ้นชัน จะช่วยลดอาการอักเสบบริเวณข้อต่อ โดยมี Curcumin เป็นสารประกอบหลัก และมีคุณสมบัติบรรเทาอาการปวดข้อด้วยค่ะ พริกขี้หนูจะช่วยเพิ่มระดับของฮอร์โมนเอ็นดอร์ฟินและเซโรโทนิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนแห่งความสุข เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นสมุนไพรที่ช่วยต้านโรคซึมเศร้า และคลายเครียดได้ด้วยค่ะ


โทษของการกินเผ็ด หากกินรสเผ็ดจัดเกินไป จะทำให้เป็นโรคกระเพาะและผนังกระเพาะอักเสบได้ค่ะ เป็นการกระตุ้นให้เกิดกรดไหลย้อนค่ะ การที่เราเรอหลังจากกินอาหารรสเผ็ดเข้าไปไม่ได้แปลว่าเราไม่มีมารยาทนะคะ แต่นั่นเกิดจากร่างกายของเราไม่สามารถจัดการกับอาการรสจัดได้ค่ะ ทำให้นอนไม่หลับ เนื่องจากอาหารรสเผ็ดไปเพิ่มอุณหภูมิให้สูงขึ้นนั่นเองค่ะ ทำให้ปุ่มรับรสเสียไปถ้าหากกินเผ็ดนานๆ ไป


ที่มา @ healthlife2you

Relate topics

แสดงความคิดเห็น

« 6782
หากท่านไม่ได้เป็นสมาชิก ท่านจำเป็นต้องป้อนตัวอักษรของ Anti-spam word ในช่องข้างบนให้ถูกต้อง
The content of this field is kept private and will not be shown publicly. This mail use for contact via email when someone want to contact you.
Bold Italic Underline Left Center Right Ordered List Bulleted List Horizontal Rule Page break Hyperlink Text Color :) Quote
คำแนะนำ เว็บไซท์นี้สามารถเขียนข้อความในรูปแบบ มาร์คดาวน์ - Markdown Syntax:
  • วิธีการขึ้นบรรทัดใหม่โดยไม่เว้นช่องว่างระหว่างบรรทัด ให้เคาะเว้นวรรค (Space bar) ที่ท้ายบรรทัดจำนวนหนึ่งครั้ง
  • วิธีการขึ้นย่อหน้าใหม่ซึ่งจะมีการเว้นช่องว่างห่างจากบรรทัดด้านบนเล็กน้อย ให้เคาะ Enter จำนวน 2 ครั้ง